อาการแทรกซ้อนจากการดูดไขมันที่คุณต้องรู้

การดูดไขมันเป็นหัตถการที่ช่วยกำจัดไขมันส่วนเกินและปรับรูปร่างให้สมส่วนขึ้น แต่ก็มีความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้ หากไม่ได้รับการดูแลอย่างถูกต้อง วันนี้เรามาทำความเข้าใจถึง อาการแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นจากการดูดไขมัน เพื่อให้คุณตัดสินใจได้อย่างปลอดภัย
อาการแทรกซ้อนที่พบได้บ่อย
อาการเหล่านี้มักเกิดขึ้นชั่วคราวและสามารถฟื้นตัวได้เอง หากดูแลตัวเองอย่างเหมาะสม
- อาการบวมและช้ำ – เกิดจากการที่เนื้อเยื่อถูกกระทบกระเทือนขณะดูดไขมัน อาการบวมอาจอยู่ได้นาน 2-4 สัปดาห์ และรอยช้ำอาจหายภายใน 2 สัปดาห์
- อาการเจ็บปวดหรือระบม – ความเจ็บขึ้นอยู่กับบริเวณที่ดูดไขมัน โดยทั่วไปจะบรรเทาลงภายใน 1-2 สัปดาห์
- ผิวหนังเป็นคลื่นหรือไม่เรียบเนียน – เกิดจากการดูดไขมันไม่สม่ำเสมอ หรือความยืดหยุ่นของผิวลดลง
- ชาหรือความรู้สึกผิดปกติบริเวณที่ดูดไขมัน – เกิดจากเส้นประสาทถูกกระทบ แต่ส่วนใหญ่จะค่อย ๆ ดีขึ้นภายใน 3-6 เดือน
อาการแทรกซ้อนที่รุนแรงและต้องระวัง
แม้ว่าจะพบได้น้อย แต่หากเกิดขึ้นต้องรีบพบแพทย์ทันที
- ติดเชื้อ (Infection)
- อาจเกิดจากการดูแลแผลไม่ดีพอ หรือจากอุปกรณ์ที่ไม่สะอาด
- อาการ: มีไข้สูง บริเวณที่ดูดไขมันบวมแดง กดเจ็บ หรือมีหนอง
- วิธีป้องกัน: ใช้ยาฆ่าเชื้อตามแพทย์สั่ง และรักษาความสะอาดของแผล
- ลิ่มเลือดอุดตัน (Deep Vein Thrombosis – DVT)
- เกิดจากการที่เลือดจับตัวเป็นก้อนในหลอดเลือดดำ อาจนำไปสู่ภาวะลิ่มเลือดอุดตันที่ปอด (Pulmonary Embolism) ซึ่งเป็นอันตรายถึงชีวิต
- อาการ: ขาบวม ปวดรุนแรง เจ็บหน้าอก หายใจลำบาก
- วิธีป้องกัน: เคลื่อนไหวร่างกายเบา ๆ หลังทำหัตถการ และดื่มน้ำมาก ๆ
- ภาวะเสียเลือดมากผิดปกติ (Excessive Bleeding)
- หากดูดไขมันออกมากเกินไป หรือแพทย์ใช้เทคนิคที่ไม่เหมาะสม อาจทำให้ร่างกายเสียเลือดมากจนเกิดอาการหน้ามืด วิงเวียน หรือช็อกได้
- วิธีป้องกัน: เลือกแพทย์ที่มีประสบการณ์ และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด
- ไขมันอุดตันในกระแสเลือด (Fat Embolism)
- ไขมันที่ดูดออกอาจหลุดเข้าไปในกระแสเลือดและอุดตันหลอดเลือดที่ปอดหรือสมอง
- อาการ: หายใจลำบาก เจ็บหน้าอก หมดสติ
- วิธีป้องกัน: ควรทำโดยแพทย์ที่มีประสบการณ์ และไม่ดูดไขมันออกมากเกินไปในครั้งเดียว
- น้ำในร่างกายเสียสมดุล (Fluid Imbalance)
- การดูดไขมันปริมาณมากอาจทำให้ร่างกายสูญเสียน้ำและเกลือแร่ จนเกิดอาการขาดน้ำ หรือมีน้ำคั่งในร่างกาย
- อาการ: อ่อนเพลีย หัวใจเต้นผิดจังหวะ บวมผิดปกติ
- วิธีป้องกัน: ควรดูดไขมันในปริมาณที่เหมาะสม และดื่มน้ำให้เพียงพอหลังการทำหัตถการ
วิธีป้องกันอาการแทรกซ้อนจากการดูดไขมัน
1. เลือกแพทย์และสถานพยาบาลที่ได้มาตรฐาน
- เลือกแพทย์ที่มีใบรับรองและประสบการณ์ด้านศัลยกรรมความงาม
- ตรวจสอบว่าเป็นคลินิกหรือโรงพยาบาลที่ได้รับอนุญาตจากกระทรวงสาธารณสุข
- ใช้เทคนิคที่ปลอดภัย เช่น VASER, PAL (Power-Assisted Liposuction), Laser Lipo ที่ช่วยลดการกระทบกระเทือนของเนื้อเยื่อ
2. ประเมินสุขภาพก่อนทำการดูดไขมัน
- ตรวจร่างกายและแจ้งประวัติสุขภาพให้แพทย์ทราบ เช่น โรคประจำตัวหรือการใช้ยา
- หยุดใช้ยาและอาหารเสริมที่เพิ่มความเสี่ยงต่อการแข็งตัวของเลือด เช่น แอสไพริน วิตามินอี น้ำมันปลา อย่างน้อย 2 สัปดาห์ก่อนทำ
- หากมีโรคเรื้อรัง เช่น เบาหวาน หรือความดันโลหิตสูง ต้องควบคุมอาการให้อยู่ในระดับปกติ
3. ไม่ดูดไขมันในปริมาณที่มากเกินไป
- ปริมาณไขมันที่ดูดออกไม่ควรเกิน 5 ลิตรต่อครั้ง เพื่อป้องกันภาวะเสียเลือดและน้ำในร่างกายไม่สมดุล
- ควรเว้นระยะระหว่างการทำหัตถการในกรณีที่ต้องดูดไขมันหลายบริเวณ
4. ปฏิบัติตามคำแนะนำหลังทำอย่างเคร่งครัด
- ใส่ชุดกระชับสัดส่วน (Compression Garment) อย่างน้อย 4-6 สัปดาห์ เพื่อช่วยลดบวมและกระชับผิว
- หลีกเลี่ยงกิจกรรมหนักหรือออกกำลังกายหนัก อย่างน้อย 4 สัปดาห์
- รับประทานอาหารที่มีโปรตีนสูงและดื่มน้ำให้เพียงพอเพื่อช่วยฟื้นฟูร่างกาย
วิธีรับมือกับอาการแทรกซ้อนจากการดูดไขมัน
1. อาการบวมและรอยช้ำ
- ประคบเย็น ในช่วง 48 ชั่วโมงแรก เพื่อลดอาการบวมและช้ำ
- ยกบริเวณที่ดูดไขมันให้สูง (เช่น นอนหนุนหมอน) เพื่อลดการคั่งของของเหลว
- ดื่มน้ำมาก ๆ และหลีกเลี่ยงอาหารเค็มเพื่อลดการบวมน้ำ
2. อาการปวดและระบม
- ทานยาแก้ปวดตามที่แพทย์สั่ง เช่น พาราเซตามอล แต่ควรหลีกเลี่ยงยาแก้อักเสบ (NSAIDs) เช่น ไอบูโพรเฟน ซึ่งอาจทำให้เลือดออกง่ายขึ้น
- หลีกเลี่ยงการกดหรือนวดแรง ๆ บริเวณที่ดูดไขมัน
3. ผิวไม่เรียบเนียนหรือเป็นคลื่น
- นวดเบา ๆ ตามคำแนะนำของแพทย์ (เริ่มหลังจากแผลหายดีแล้ว)
- ใช้เทคนิคเสริม เช่น J-Plasma หรือ RF (Radio Frequency) Therapy เพื่อช่วยกระชับผิว
4. มีอาการชาหรือรู้สึกผิดปกติบริเวณที่ดูดไขมัน
- อาการชามักเกิดจากเส้นประสาทถูกกระทบและจะค่อย ๆ ดีขึ้นใน 3-6 เดือน
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสบริเวณที่ยังมีอาการชาเพราะอาจเกิดบาดแผลโดยไม่รู้ตัว
5. อาการติดเชื้อ (ควรรีบพบแพทย์ทันที)
- สังเกตอาการ: มีไข้สูง แผลบวมแดงมาก มีกลิ่นเหม็น หรือมีหนองไหลออกมา
- รักษาความสะอาดของแผล ล้างแผลด้วยน้ำเกลือหรือตามคำแนะนำของแพทย์
- ทานยาปฏิชีวนะตามแพทย์สั่งให้ครบ
6. อาการลิ่มเลือดอุดตัน (Deep Vein Thrombosis – DVT)
- สังเกตอาการ: ขาบวม เจ็บ ปวดรุนแรง หรือมีอาการหายใจลำบาก
- เคลื่อนไหวร่างกายเบา ๆ เช่น เดินช้า ๆ เพื่อกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด
- หลีกเลี่ยงการนั่งหรือนอนนิ่ง ๆ เป็นเวลานาน
7. อาการไขมันอุดตันในกระแสเลือด (Fat Embolism) – ภาวะฉุกเฉิน
- สังเกตอาการ: หายใจลำบาก เจ็บหน้าอก หน้ามืด หรือหมดสติ
- วิธีรับมือ: รีบพบแพทย์ทันที! เพราะเป็นภาวะที่อันตรายถึงชีวิต
8. ภาวะเสียเลือดมากผิดปกติ
- สังเกตอาการ: วิงเวียนศีรษะ เหนื่อยง่าย หน้าซีด หัวใจเต้นเร็ว
- นอนพักผ่อนให้เพียงพอและดื่มน้ำเกลือแร่ช่วยรักษาสมดุลของร่างกาย
- หากมีอาการรุนแรง ให้รีบพบแพทย์ทันที
สรุป
แม้ว่าการดูดไขมันจะเป็นหัตถการที่ได้รับความนิยม แต่ก็มีความเสี่ยงที่ต้องระวัง อาการแทรกซ้อนที่พบบ่อยได้แก่ บวม ช้ำ ผิวไม่เรียบ หรืออาการชา ส่วนอาการรุนแรงที่ต้องเฝ้าระวังได้แก่ ติดเชื้อ ลิ่มเลือดอุดตัน ไขมันอุดตัน หรือเสียเลือดมาก หากต้องการลดความเสี่ยง ศึกษาข้อมูลให้รอบคอบและเลือกแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญ เพื่อผลลัพธ์ที่ดีและลดความเสี่ยงของอาการแทรกซ้อน